เปลวเทียนแห่งปัญญา
เปลวเทียนแห่งปัญญา
��������������� ตะวันแรกแย้มขึ้นบนแผ่นฟ้า� ทำลายความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง� ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูมีชีวิตชีวาขึ้นเหมือนกับชายชราเศรษฐีผู้หนึ่งที่มักอิ่มเอมเปรมปรีด์ทุกครั้งกับบรรยากาศยามรุ่งอรุณ
��������������� เขาเติบโตมากับครอบครัวที่ร่ำรวยสามารถกินอยู่อย่างสบาย� โดยไม่ต้องร่ำเรียนหนังสือ� หากแต่เขาต้องการที่จะร่ำรวยความรู้มากกว่าเงินทอง� เขาจึงฝักใฝ่การเรียนตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงบัดนี้� ณ� ที่เดิมแห่งนี้� ที่ซึ่งพ่อแม่ได้ล้มหายตายจากไปเหลือไว้เพียงสมบัติพัสถานที่ใหญ่โตมโหฬารไว้ให้� กับคนรับใช้ผู้ซื้อสัตย์หนึ่งคนมีอายุ
อานามไล่เลี่ยกัน
��������������� วันหนึ่งหลังจากที่เขาครุ่นคิดมานานหลายวัน� จึงกล่าวกับคนรับใช้ว่า� “ เราชราแล้วปีนี้ก็ร่วมเจ็ดสิบห้าปี� ใจของเรานั้นยังปรารถนาที่จะศึกษาเรียนรู้ต่อไป� แต่มักรู้สึกว่าสายเกินไปแล้ว ”�
��������� คนรับใช้กล่าว� “ สายเกินไปหรือ ?� เหตุใดท่านจึงไม่จุดเทียนล่ะ ? ”
��������������� “ ข้าพูดจริง...� แต่ไฉนเจ้าจึงพูดเล่นเช่นนี้ ? ”� เศรษฐีชรารู้สึกเคลือบแคลงใจสงสัยในคำพูดของคนรับใช้
��������������� “ ข้าเป็นบ่าวไพร่...� ท่านเป็นเจ้านาย...� ไหนเลยข้าจะบังอาจพูดเล่นได้� สิ่งที่ข้าพูดมีนัยดังนี้� หากผู้ใดรักศึกษาเล่าเรียนในวัยเยาว์� อนาคตของเขาย่อมประหนึ่งรุ่งอรุโณทัยที่สดใสที่เรืองรอง� หากผู้ใดใฝ่ศึกษาเมื่อเข้าวัยกลางคน� เขาจะประดุจดวงตะวันยามเที่ยง� ที่สาดแสงต่อไปอีกครึ่งวันและหากผู้ใดใฝ่ศึกษาเมื่อชรา� ก็ประหนึ่งเปลวเทียนที่ให้แสงสว่างพอประมาณ� ถึงแม้ว่าจะเรื่อเรืองแต่ก็ยังดีกว่าคลำเปะปะไปในความมืดมิด”� คนรับใช้พูดถ้าเขาเข้าใจอย่างกระจ่างชัด
��������������� “ ข้ารู้...� หากเราไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนชีวิตของเราคงจะถูกความมืดมิดเข้าครอบงำถึงแม้เราจะร่ำรวยสักเพียงใดก็ตาม ”� เศรษฐีชราพูดด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้